เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ เม.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

โลกเห็นไหม โลกเกิดมาเป็นความจริง น้ำเห็นไหม ที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิต แต่ถ้าน้ำมันมากเกินไป น้ำมันหลากนะ ข้าวปลาอาหารตายหมดเห็นไหม น้ำมันต้องน้ำพอสมควร แต่ที่ไหนมีน้ำที่นั่นมีชีวิต

น้ำใจก็เหมือนกัน ถ้าน้ำใจเห็นไหม ดูสิ พ่อแม่มีน้ำใจมาก แต่ถ้าน้ำใจของเราไม่สมควรไม่พอดี สิ่งต่างๆ เสียหายได้นะ คน.. เวลาทุกข์เวลายากเราเจือจานเขา มันเป็นประโยชน์ แต่ถ้าเจือจานจนเขาช่วยตัวเขาเองไม่ได้ มันก็ไม่เป็นประโยชน์ขึ้นมา มันเสียหาย มันเสียของ ถ้ามันเสียของ เห็นไหม

นี่เวลาคนที่มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาในหัวใจ มันจะสมดุลของมัน แต่ความสมดุลของคน มันตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ความสมดุลมันมีแค่ไหน คนเราคนทุกข์คนยากก็ต้องการความช่วยเหลือเจือจาน แต่พอเราช่วยเหลือเจือจานขึ้นมา เขาต้องยืนในตัวเขาเองขึ้นมาได้ ถ้าเขายืนด้วยตัวเองขึ้นมาได้ เราต้องเจือจานเขาไปตลอดชีวิตมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าเขาจะช่วยเหลือตัวของตัวเขาเองได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเขาช่วยตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน เขาต้องพัฒนาขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิต ผลของวัฏฏะ เห็นไหม เวลาเราเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้ พันธุกรรมทางจิต เราเกิดลุ่มๆ ดอนๆ เราเกิดมาเราทุกข์ๆ ยากๆ มันจำได้นะ

อย่างเช่นโดยธรรมชาติของมนุษย์กลัวผี ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าผีไม่มี เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเราว่าผีไม่มี.. ผีไม่มี.. แต่ทำไมเรากลัวผีล่ะ เพราะจิตใต้สำนึก เห็นไหม พันธุกรรมทางจิตมันเกิดเวียนตายมา มันได้ประสบ มันได้สัมผัสมันมา ทั้งนี้พอได้สัมผัสมันมา มันอยู่ที่จิตใต้สำนึกนะ ว่ามีหรือไม่มี ทางวิทยาศาสตร์บอกไม่มี

แต่ถ้าไม่มี.. ไม่มี ไอ้ผีตัวแรกกับไอ้ตัวเราที่นั่งอยู่นี่ ไอ้ความรู้สึกนี่คือผี คือผีเพราะอะไร เพราะจิตวิญญาณไง จิตวิญญาณมันธาตุรู้ ธาตุรู้เวลามันเคลื่อนออกจากร่างนี้ไป มันจะไปอยู่สถานะที่ไหนล่ะ เวลาสสารทำลายได้หมดทุกอย่างเลย แต่สสารความรู้สึกอันนี้ทำลายไม่ได้

ถ้าทำลายได้นะ พระเวสสันดร พระโพธิสัตว์ เห็นไหม พันธุกรรมทางจิต พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ถ้ามันขาดช่วงกัน มันขาดตอนกันมันจะสืบต่อกันได้ยังไง อำนาจวาสนาบารมีมันจะสืบต่อกันมาได้ยังไง ความสืบต่อของมันเห็นไหม สันตติ! สันตติ !

สันตติมันไม่ใช่เกิดเป็นดวงๆ ไม่ใช่เกิดเป็นขั้นตอนหรอก สันตติคือตัวของมันเอง ในตัวของมันเองสันตติคือสิ่งที่ธาตุรู้ สสารที่เวลามันโดนทำลาย มันย่อยสลาย มันเปลี่ยนสภาพของมันไปแล้ว สสารหนึ่งไปสู่อีกสสารหนึ่ง

แต่สันตติของมัน มันอยู่ของมันได้อย่างไร พอภาวนาไปจะเริ่มเข้าใจได้นะ แต่ถ้าเราเข้าใจไม่ได้ เราเอาแต่วิทยาศาสตร์มาจับกันเห็นไหม สันตติ ก็ว่าสันตติเป็นดวงๆๆ กันไป มันก็ว่ากันไปเห็นไหม เพราะอะไร เพราะว่าโลกเป็นใหญ่

โลกกับธรรม ถ้าเราถือโลกเป็นใหญ่ ถ้าเราถือเอาความรู้ของเราเป็นใหญ่ เราวางความรู้ของเราไม่ได้ ความรู้ของเรามันครอบงำเรา ถ้ามันครอบงำเรา เห็นไหม โลก โลกเพราะความรู้เกิดจากเรา

ความรู้ของคนอื่น ความรู้สึกของคนอื่น ความเจ็บช้ำน้ำใจของคนอื่น มันเป็นเรื่องของเขานะ ความรู้ความเจ็บช้ำน้ำใจป็นของเรานะ ความของเราแล้วมันเกิดที่ไหน ความเจ็บช้ำน้ำใจมันเกิดมาจากไหน.. มันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากภวาสวะ มันเกิดมาจากภพ ภพเป็นของใครล่ะ เห็นไหม

สิ่งที่ความรู้ของเรา ความเข้าใจของเรามันเกิดจากภพ เกิดจากอวิชชา ความไม่เข้าใจนี้เกิดจากโลกไง โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือสัตตะ โลกคือผู้ข้อง เห็นไหม สัตตะ สัตว์โลก สัตว์โลกคือข้อง ข้องในตัวของมันเอง ข้องในวัฏสงสาร

นี่แต่สัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐก็ข้อง มันข้องไปหมด ถ้ามันยังไม่เข้าใจในสภาพตามความเป็นจริง ถ้าสภาพตามความเป็นจริง เห็นไหม น้ำใจ น้ำใจของผู้ที่สูงกว่า ครูบาอาจารย์ของเรา เพราะอะไรรู้ไหม เพราะท่านทุกข์มาก่อน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาได้โพธิญาณมา คำว่าได้โพธิญาณมา เสียสละมาทุกๆ อย่างเห็นไหม เสียสละชีวิตมา เสียสละทุกๆ อย่างมา เพื่อตัวของท่านเองก่อน ความเสียสละ เสียสละเพื่อคนโน้น เพื่อคนนี้ ไม่ใช่หรอก! เสียสละเพื่อตัวเอง แต่การเสียสละนี้คนอื่นเขาได้ประโยชน์จากการเสียสละนั้น

ถ้าคนอื่นเขาได้ประโยชน์จากการเสียสละนั้น เขาได้ประโยชน์เห็นไหม เขาได้ประโยชน์จากใคร ได้ประโยชน์จากการเสียสละของเรา การเสียสละมาจากไหน การเสียสละมาจากใจ ถ้าใจนี่ ภวาสวะอันนี้ พันธุกรรมอันนี้มันได้เปลี่ยนแปลง การเสียสละ การได้เห็นความสดชื่น การได้เห็นโลกมีความร่มเย็นเป็นสุข เราก็มีความสุขใจ มีความชื่นใจ เราก็พอใจของเรา พอเราพอใจ เราก็พอใจจะเสียสละไง

นี่น้ำใจ! น้ำใจถ้ามีมากเกินไปมันท่วมล้นเกินไปนะ โลกนี้มันจะอ่อนแอกันไปหมด เราจะต้องฝึกฝนเขาให้เขายืนของเขาได้ แล้วผู้ที่เสียสละ พอเสียสละสิ่งนั้นมันย้อนกลับมาที่ใจ ถ้าย้อนกลับมาที่ใจ นี่อำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละมาทั้งหมด เสียสละแม้ชีวิต ในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราเคยเป็น.. เราเคยเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยชาติเป็นหัวหน้ากวาง หัวหน้าต่างๆ” ท่านพูดถึงการเสียสละของท่านมามาก เราเคยเป็น

เพราะปัจจุบันเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนา คือตัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคยเป็น... คืออดีตที่เคยเป็นมา เคยเสียสละมา เสียสละมาเห็นไหม เสียสละเพื่อตัวท่านเอง แต่เสียสละในตัวท่านเอง เป็นหัวหน้ากวาง หัวหน้าฝูงกวาง พรานเขาจะมาล่าเห็นไหม หัวหน้าฝูงลิง พรานจะมาล่าลิง พาฝูงลิงนั้นไปให้พ้นจากภัยเห็นไหม ท่านเสียสละเพื่อใคร ก็เพื่อชีวิตของท่านด้วย ทั้งหมู่ ทั้งฝูง ทั้งหมู่คณะนั้นด้วย

การเสียสละนั้นมันสร้างบุญญาธิการมาเห็นไหม สร้างมาเรื่อย นี่สหชาติ ผู้ที่เกิดร่วม เกิดในสายบุญสายกรรมจะเชื่อฟังกัน จะพูดมีมุมมองที่ตรงกัน มีมุมมองที่เห็นสมควรต่อกัน แต่ถ้ามีมุมมองที่ขัดแย้งกัน ความขัดแย้งกันเป็นผลของวัฏฏะนะ ผลของวัฏฏะคือว่าเราเกิดร่วมภพร่วมชาติกันมาเห็นไหม เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกเราเป็นญาติกันโดยธรรม

คำว่าญาติกันโดยธรรม หมายถึงว่า เราเกิดมาชีวิตเหมือนกัน เราต้องใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน เรามีสุขมีทุกข์ในหัวใจเหมือนกัน เราเป็นญาติกันด้วยความสุขความทุกข์อย่างนี้ไง

แต่เวลาเราเกิดแต่ละภพแต่ละชาติ เราเกิดในชาติตระกูลเราเห็นไหม เราเป็นญาติกันโดยธรรม ถ้าญาติโดยธรรม ถ้าเรามีเมตตา เราเมตตาเขา แต่เมตตาเขานะ คนที่สูงกว่าคือคนที่มีปัญญา คนที่มีปฏิภาณไหวพริบนี่ มันรู้สึกรู้ถูกรู้ผิดใช่ไหม แต่คนที่มีปฏิภาณที่ต่ำกว่า เขาไม่รู้ถูกรู้ผิด เขาฟาดงวงฟาดงา เขาไม่ได้ผลประโยชน์ดั่งใจ เขาไม่ได้ดั่งคาดหวังของเขา เขาก็ตีโพยตีพายไปประสาของเขา

แต่ผู้ที่มีปฏิภาณ ผู้ที่มีปัญญาที่สูงกว่า เห็นว่ามันสมควรไหม มันเป็นอย่างนั้นจริงไหม แล้วเราจะแก้ไข เราจะบอกเขาได้อย่างไร นี่ผลของวัฏฏะ เรามาเจอสิ่งนี้มันขัดแย้งต่อกัน เป็นความขัดแย้งต่อกัน มันเป็นผลของวัฏฏะ เราไม่สามารถจะทำให้ทุกคนดีได้หมด มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นเวรเป็นกรรมของเขา แต่เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะเสียสละของเรา เราทำเพื่อประโยชน์ของเรา

ฉะนั้น ที่ไหนมีน้ำที่นั่นมีชีวิต น้ำใจสำคัญมาก แต่น้ำใจ เวลาน้ำใจถึงตัวเราเอง ก่อน เวลาเรามีอารมณ์บนความโลภ ความโกรธ ความหลง เราจะไม่เห็นตัวเราเองเลย เราจะเห็นสิ่งที่เราโลภ เราโกรธ เราหลงนั้นเป็นความสำคัญ เวลาเราโกรธ เราก็โกรธเต็มที่ไปประสาเรา แต่จิตของเรา ความโกรธเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต

แต่เวลาความโกรธเกิดขึ้นมา มันครอบงำจิตไว้ แล้วมันจะทำตามอารมณ์ของความโกรธอันนั้น ผลของความโกรธนั้น พอมันทำสะใจมันแล้วความโกรธนั้นก็หายไป เพราะได้ทำความพอใจมันแล้ว ความโกรธนั้นหายไปแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันสร้างความอยากความต้องการกับจิต แล้วมันก็ลากจิต เพราะลากจิต คำว่าลากจิตเพราะมันเกิดจากจิต มันไม่ใช่จิตนะ

ดูสิ ถ้ามันความโลภเป็นเรานะ เวลาเราโกรธ ความโลภ ความโกรธเป็นเรานะ มันโกรธแล้วมันก็ต้องอยู่กับเรา เราโลภสิ่งใด พอเราสนองตัณหาแล้วมันหายไปไหนล่ะ แล้วมันเหลืออะไรไว้ เหลือจิตไว้ เหลือความรับรู้ความตกผลึก เห็นไหม

คำว่าโลกๆ เห็นไหม ความคิดเกิดจากจิต ความโลภเกิดจากจิต ในกิเลสตัณหาทะยานอยาก มันลากจิตออกไปทำงานร่วมกับมัน เสร็จแล้วความโลภมันสะใจมันแล้วมันก็ผ่านไป แต่ผลที่ได้รับก็คือจิตของเราไง ผลที่ได้รับคือหัวใจของเราไง สิ่งที่หัวใจของเรามันก็ตกผลึกความโลภ ความโกรธ ความหลงที่สร้างบุญสร้างกรรม สร้างความความดีก็ได้บุญของเขา ทำความชั่วก็ได้ชั่วของเขา บุญกุศลมันตกอยู่ที่ใจนี้

ใจคือตัวโลภ คือตัวภวาสวะ คือตัวผู้ข้อง คือตัวสัตว์โลก นี่ผลของวัฏฏะมันก็เวียนไปของมัน เพราะแรงขับไง สิ่งที่เป็นแรงขับเห็นไหม พลังงานที่มันมีแรงขับมากมันก็ไปได้ไกล เพราะแรงขับ พลังงานที่มีแรงขับที่อ่อนกว่า แรงขับที่ปานกลางเห็นไหม เพราะแรงขับของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

ถ้าเรามีวุฒิภาวะของเรา เรารักษาของเรา คนทุกคนก็รักตัวเอง ทุกคนก็มีปัญญา แต่มีปัญญามองแต่เรื่องภายนอก ไม่มีปัญญามองเรื่องจิตของเรา มองเรื่องความรู้สึกที่เกิดกับเรา ถ้ามีความรู้สึกที่เกิดกับเรา นี่ปัญญาอย่างนี้มันละเอียดเข้ามา แต่ละเอียดเข้ามา ถ้าจะพิสูจน์กันทางใด พิสูจน์ทางจิตวิทยาเห็นไหม ทางจิตวิทยา ทางจิตแพทย์ เขาพิสูจน์ของเขา แต่พิสูจน์ของเขาทางจิตวิทยา ทางจิตแพทย์ เขาพิสูจน์เพื่อวิทยาศาสตร์ เพื่อรู้ เพื่อความเป็นปกติ

เวลาทางจิต เห็นไหม เป็นปกติ ทางวิทยาศาสตร์เพื่อรู้ เพื่อรู้อะไร รู้ทฤษฎีอันนั้น แต่เขาไม่รู้จักตัวเขาเอง ถ้าเขารู้จักตัวเขาเองนะ มันจะลึกซึ้งกว่านั้น ลึกซึ้งเพราะอะไร ลึกซึ้งเพราะมีพระพุทธศาสนา “พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ความรู้สึกอันนี้จะย้อนกลับมาที่นี่ ถ้าย้อนกลับมาที่นี่มันจะแก้ไขที่นี่

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก เพราะมันแก้ไขได้ตามความเป็นจริง แต่ถ้าเราพิสูจน์ด้วยปัญญาของโลกๆ มันแก้ไขไม่ได้ มันแก้ไขไม่ได้เพราะมันเป็นเงา มันไม่ใช่ตัวจิต เห็นไหม ดูสิ เราจะเอาเครื่องประดับทุกอย่างไปกองไว้ที่เงา เราไปยืนที่เงา เราเอาของประดับไว้ที่เงา เงามันได้อะไรขึ้นมา แต่ถ้าเราเอาไว้ที่ตัวเรา เราภูมิใจนะ เรามีเครื่องประดับนะ

นี่ก็เหมือนกัน คุณงามความดีของใจ กับคุณความดีของเงา คุณงามความดีของความคิดกับคุณงามความดีของจิต ทีนี้..พระพูดอย่างนี้ทั้งนั้นเลย.. พระพูดอย่างนี้ทั้งนั้น.. แต่พระพูดอย่างนี้พระก็ต้องมีฐานความจริงรองรับ เพราะฐานความจริงรองรับมันพิสูจน์ได้จริงไง

มันพิสูจน์ได้จริง ตัวสสารมันถึงมีคุณธรรมจริงไง ไม่ใช่มีแต่ข่าวเล่าลือเห็นไหม มีแต่ฟังเขาเล่าว่า มีแต่ข่าวลือ มีแต่ฟังเขาพูด.. ฟังเขาพูด.. ทำไมเขาพูดอย่างนั้นล่ะ ก็เขาพูดตามๆ กันมา “หลักกาลามสูตร” เห็นไหม ไม่ให้เชื่อตามๆ กันมา ไม่ให้เชื่อตรรกะ พิสูจน์ได้ว่ามันเป็นจรรโลงความจริงอย่างนั้น ไม่ให้เชื่อตรรกะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ขนาดไหนพิสูจน์ได้ ... แต่ไม่ให้เชื่อ

ไม่ให้เชื่อเพราะอะไร เพราะมันแก้ทุกข์เราไม่ได้ เวลามันทุกข์มันร้อนขึ้นมา พิสูจน์ได้เลยเพราะว่า เขาว่าเป็นทุกข์.. เป็นทุกข์เห็นไหม ดูเวลาลูกมันร้องเห็นไหม มันไม่เป็นอย่างนั้น มันเชื่อเราไหม.. มันเชื่อไหม.. มันเชื่ออารมณ์มัน ไม่เชื่อฟังคำสอนนะ

นี่เหมือนกัน พอจิตมันละเอียดเข้ามา มันจะรู้ของมัน ไม่ให้เชื่อสิ่งนั้น ให้เชื่อประสบการณ์ ให้เชื่อสันทิฏฐิโก เรารู้เราเห็นของเราเอง เราสละของเราเองได้ ถ้าเราสละของเราเองไม่ได้ ใครก็สละให้เราไม่ได้ แล้วเราก็จะรู้ตามจริงไม่ได้

ถ้าเรามีน้ำใจเห็นไหม น้ำใจอย่างโลกน้ำใจ น้ำใจอย่างธรรม แล้วถ้าน้ำใจที่มันละเอียดมันเห็นแล้วนะ มันสลดสังเวชนะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาเขาคิดว่าเขาจะทำร้ายคนอื่น เท่ากับเขาทำร้ายตัวเขาเอง

นี่ก็เหมือนกัน คิดแต่เรื่องเบียดเบียนคนอื่น เท่ากับเขาเบียดเบียนตัวเขาเอง ตัวเขาไม่รู้สึกตัวนะ เขาไม่รู้สึกตัว แต่คนที่เห็น คนที่รู้ เพราะอะไร นั่นผลมันตกผลึกลงที่ใจ ผลมันตกผลึกลงตรงที่เวรกรรมอันนั้นเห็นไหม สิ่งที่เวรกรรมนี่ผลของวัฏฏะ วัฏฏะเพราะแรงขับอันนี้มันจะหมุนมันไป นี่พูดถึงค่าน้ำใจ พูดถึงพระพุทธศาสนา พูดถึงชีวิตของเรา เรามีจิตของเรา เรามีสติปัญญของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง